2036 รวมถึงการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี ค. 2044 โดยตั้งเป้าผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ 66, 000 ล้านหน่วย ภายในปี ค. 2050 S - Sink Co-creation เป็นการดูดซับเก็บกักคาร์บอนอย่างมีส่วนร่วม โดยโครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่อย่างมีส่วนร่วม กฟผ. พร้อมพันธมิตรได้มุ่งเน้นไปที่การปลูกป่าอนุรักษ์ ป่าชายเลน ป่าชุมชน และป่าเศรษฐกิจ ระหว่างปี ค. 2022 - 2031 ปีละประมาณ 100, 000 ไร่ โดย กฟผ. ยังได้วางแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) ในปี ค. 2045 เพื่อกักเก็บคาร์บอนปริมาณ 3. 5 - 7 ล้านตัน อีกด้วย S - Support Measures Mechanism เป็นกลไกการ สนับสนุนโครงการชดเชยและหลีกเลี่ยงการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นรูปธรรม โดยดำเนินโครงการส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี ค. 1994 เพื่อลดความต้องการใช้ไฟฟ้าและช่วยหลีกเลี่ยงการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้า อาทิ โครงการฉลากเบอร์ 5 การให้คำปรึกษาด้านพลังงาน การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การเสริมสร้างทัศนคติภายใต้โครงการห้องเรียนสีเขียวกว่า 400 โรงเรียนทั่วประเทศ รวมถึงการดำเนินการและวางกลไกสนับสนุนโครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ที่ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ "กฟผ.
5 องศาเซลเซียส ดังนั้น แต่ละประเทศจึงมีการควบคุมและประกาศนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกต้องไม่เกิน 4 แสนล้านตันต่อปี จึงจะสามารถคุมอุณหภูมิให้ไปเกิน 1. 5 องศาได้ และในปี 2050 โลกต้องหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น ประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงมีการกำหนดเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) รวมไปถึง การกำหนด ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คือ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ ซึ่งประเทศไทยที่เข้าร่วมในข้อตกลงปารีส กำหนดปี 2030 จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20-25% หรือ 111-139 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี ค. ศ. 2030 และ กำหนด CARBON NEUTRAL ไ ม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิเพิ่มขึ้นจากการดำเนินธุรกิจหรือการบริการของผลิตภัณฑ์ ในปี 2065-2070 การดูแลโลกและควบคุมแต่ละประเทศให้ลดการปล่อนก๊าซเรือนกระจก นอกจากมีข้อตกลงปารีสแล้ว ยังมีกฎเกณฑ์ หรือกฎหมายต่างๆ ออกมาบังคับ และขณะเดียวกัน นักลงทุน ก็นำเรื่องนี้มาประเมินความเสี่ยงในการลงทุนอย่างยั่งยืนขององค์กรด้วย นายเกียรติชาย ย้ำว่า เป็นความจำเป็นที่ประเทศและองค์กรธุรกิจ ต้องทำเรื่อง CARBON NEUTRAL และการ Offset คาร์บอนเครดิต เพราะ 1.
จะมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค. 2050 โดยมีมาตรการหลักในด้าน Sources คือการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Hydro-Floating Solar Hybrid ที่จะบรรลุเป้าหมาย 5, 325 เมกะวัตต์ ในปี ค. 2037 และเทคโนโลยีไฮโดรเจนที่จะเข้ามาในช่วงปลายแผน มาตรการหลักด้าน Sink คือ การปลูกป่าล้านไร่ ภายในปี ค. 2031 ผนวกด้วยเทคโนโลยี CCUS ตั้งแต่ปี ค. 2045 และมาตรการ Support จากโครงการด้าน Energy Efficiency และ BCG Economy ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 8 ล้านตัน ในปี ค. 2050 เพื่อร่วมสร้างอนาคตปลอดคาร์บอนให้กับคนไทยทุกคน"
2065-2070 อย่างต่อเนื่อง และเพื่อแสดงถึงจุดยืนและการเตรียมการในการปรับเปลี่ยนให้รองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่ neutral-carbon economy การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดภายในช่วงเวลา 1-10 ปีข้างหน้า (พ. 2564 - 2573) กพช. จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ดำเนินการระยะเร่งด่วน ดังนี้ (1) จัดทำแผนพลังงานชาติ ภายใต้กรอบนโยบายที่ทำให้ภาคพลังงานขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้สามารถรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ neutral-carbon economy ได้ในระยะยาว ครอบคลุมการขับเคลื่อนพลังงานทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (2) พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่าง ๆ และปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ภายใต้ PDP2018 rev. 1 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า (พ.
4% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมด และมีสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าราว 2. 5% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ยังไม่เยอะมากเท่าไหร่นัก แต่ในช่วงหลายปีมานี้ รถยนต์ไฟฟ้าก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วถึง 61% ต่อปี จากปี ค. 2012 ที่มียอดขายเพียง 1 แสนคัน เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคันในปี ค. 2018 ถึงอย่างนั้น ก็มีหลายเสียงตั้งคำถามว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ช่วยรักษ์โลกจริงๆ เหรอ?
2008 แล้วเช่นกัน ภาษีเนื้อสัตว์ เก็บค่าปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เพื่อนำมาทำเป็นอาหารของมนุษย์ ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงมากๆ เช่นกัน ในการผลิตเนื้อวัวทั่วโลกจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 41% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องอย่าง วัว ควาย แกะ ม้า และสัตว์ปีกอย่าง นก ไก่ แล้วละก็ จะมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 14. 5% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด เทียบได้กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 7, 100 ล้านตัน ถึงจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าอย่างชัดเจน แต่ความร้ายแรงของการปล่อยก๊าซไม่ได้วัดกันแค่ตัวเลขเท่านั้น เพราะใน 14. 5% ของก๊าซเรือนกระจกที่เหล่าน้องวัว น้องควายปล่อยกันออกมา ทั้งจากการเรอ การผายลม และการขับถ่ายนั้น คือก๊าซมีเทน ซึ่งดักจับความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า แต่มันก็เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ (ห้ามเรอ ห้ามผายลม กันไม่ได้จริงๆ นะ) หลายประเทศจึงพยายามหานโยบายต่างๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์แปรรูป และในการทำฟาร์มปศุสัตว์ อย่างในเยอรมนี ก็มีข้อเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีเนื้อวัวในหมวดภาษีบาป เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขณะที่ เดนมาร์กและสวีเดนก็เคยเสนอให้พิจารณาเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อปี ค.
24 ก. ย. 2564 เวลา 2:45 น. 1. 1k ประธานโตโยต้า อากิโอะ โตโยดะ ออกมาปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบายมุ่งสู่การเป็น ประเทศปลอดคาร์บอน Carbon Neutral และรถพลังงานไฟฟ้า EV หวั่นกระทบการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน และแรงงานกว่า 5. 5 ล้านคน "Carbon Neutral ศัตรูคือคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ใช่รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน" ตามที่รัฐบาลญี่ปุ่น กำหนดยุทธศาสตร์การเป็นประเทศปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral) อย่างสมบูรณ์ในปี ค. ศ.