เรื่องมีอยู่ว่าจะรีเซ็ตเครื่องใหม่ค่ะ เพราะเครื่องเปิดไม่ติด ขึ้นรูปไอโฟนค้างแล้วก็ดับไปหลังจากอัพ ios ใหม่ แต่ดันชาร์จแบตไอโฟนเข้าโน๊ตบุ๊คไม่ได้ค่ะ มันไม่ขึ้นอะไรเลย มีวิธีแก้ไขยังไงบ้างคะ แสดงความคิดเห็น
Reset แบบไหนแล้วข้อมูลหายบ้าง SPONSORED 1. Reset All Settings (รีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมด) ความหมายของการรีเซ็ตแบบนี้ก็ตรงตามชื่อของมันเลย นั่นก็คือ รีเซ็ตการตั้งค่าทั้งหมดให้เป็นการตั้งค่าแบบโรงงาน ซึ่งการรีเซ็ตแบบนี้เป็นการรีเซ็ตระบบเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในตัวเครื่อง เช่น รูปภาพ, แอปพลิเคชัน, ไฟล์เอกสารต่าง ๆ เป็นต้น ฉะนั้น การรีเซ็ตแบบ Reset All Settings ไม่ทำให้ข้อมูลสูญหาย ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องทำการ back up ข้อมูลก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วแนะนำว่าให้ back up จนติดเป็นนิสัย เพราะขณะที่ทำการรีเซ็ตอาจจะโชคร้ายเจอระบบรวนทำให้ข้อมูลหายก็เป็นได้ SPONSORED เข้าไปที่ Settings > General > Reset > Reset All Settings 2. Erase All Content and Settings (ลบข้อมูลเนื้อหาและการตั้งค่าทั้งหมด) สำหรับวิธีนี้คือการล้างข้อมูลตัวเครื่องออกทั้งหมด ทั้งการตั้งค่ารวมถึงไฟล์ต่าง ๆ ที่ถูกจัดเก็บอยู่ในเครื่อง ซึ่งวิธีนี้คือการ Restore ตัวเครื่องนั่นเอง นั่นหมายความว่า ไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกจัดเก็บในตัวเครื่องจะถูกลบออกไปเช่นกัน ฉะนั้น ก่อนที่จะเลือกการรีเซ็ตแบบนี้ ให้ทำการ back up ข้อมูลก่อนทุกครั้ง ซึ่งหลังจากที่ระบบทำการรีเซ็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยนำข้อมูลเดิมที่จัดเก็บบน iCloud กลับมาใหม่ หรือตั้งค่าเป็น iPhone เครื่องใหม่ก็ได้แล้วแต่สะดวก เข้าไปที่ Settings > General > Reset > Erase All Content and Settings 3.
ถึงแม้ฟีเจอร์ส่วนใหญ่บน iPhone จะสามารถทำได้โดยอาศัยการเชื่อมต่อ Wi-Fi แต่ Cellular ก็ยังมีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานด้านการโทร และส่งข้อความ SMS ต่อให้ iPhone จะมีประสิทธิภาพดีเพียงใด แต่ถ้าสัญญาณโทรศัพท์อยู่ในระดับต่ำ ก็ทำให้การสื่อสารไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน และต่อไปนี้คือ 10 วิธีการที่จะทำให้ระดับสัญญาณโทรศัพท์กลับมาแรงขึ้น 1. รีเฟรชสัญญาณโทรศัพท์ การรีเฟรชสัญญาณโทรศัพท์ จะช่วยให้ iPhone ค้นหาเสาสัญญาณใหม่ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งสามารถทำได้โดยไปที่ Control Center แล้วเปิดใช้โหมด Airplane รอสักครู่จนโหมด Airplane ถูกเปิดใช้งาน ให้แตะอีกครั้งเพื่อปิดโหมด Airplane หลังจากนั้น iPhone จะทำการค้นหาเสาสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการปิดแล้วเปิดเครื่องใหม่ 2. อัพเดตการตั้งค่าผู้ให้บริการฯ นอกจากการอัพเดท iOS ผู้ให้บริการฯ ก็มีการอัพเดทด้วยเช่นกัน และเจ้าของ iPhone ก็ควรอัพเดทเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีที่สุด ซึ่งการอัพเดทจะทำผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ Cellular ก็ได้ โดยไปที่ Settings > General > About ถ้าหากมีการอัพเดทจะพบหน้าต่างแจ้งเตือน แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็หมายถึงไม่มีการปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ออกมา เจ้าของ iPhone สามารถตรวจสอบเวอร์ชั่นปัจจุบันได้ที่ Settings > General > About > Carrier 3.
ตรวจสอบซิมการ์ด โดยปกติแล้วซิมการ์ด เป็นชิ้นส่นที่ไม่ค่อยได้รับความเสียหายมากนัก เนื่องจากจะถูกเก็บไว้ภายในเครื่องเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากซิมการ์ดถูกใช้เป็นเวลานานหลายปี ก็คุ้มค่าที่จะลองถอดออกมาตรวจสอบดู ซึ่งควรปิด iPhone ให้เรียบร้อยก่อนถอดซิมการ์ดออกมา 8. ใช้อุปกรณ์ Cell Signal Repeater อุปกรณ์ Cell Signal Repeater หรือ Booster ทำงานคล้ายกับ Wi-Fi Router แต่แทนที่จะปล่อยสัญญาณ Wi-Fi อุปกรณ์นี้จะทำการดักสัญญาณ Cellular ในอากาศ แล้วปรับคุณภาพสัญญาณใหม่ ก่อนกระจายสัญญาณออกมา ซึ่งจะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ในบริเวณนั้นแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เร่งสัญญาณโทรศัพท์อีกประเภท เรียกว่า Femtocell หรือ Microcell ช่วยทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากสายบรอดแบนด์ให้เป็น Cellular ผ่าน Wi-Fi แต่เป็นอุปกรณ์ที่หายากมากขึ้นทุกที 9. ย้ายค่าย หากลองทำมาทุกวิธีข้างต้นยังไม่ได้ผล การเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการฯ รายใหม่อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ก่อนอื่นควรตรวจสอบให้มั่นใจว่าบริเวณที่ใช้งานนั้น อยู่ในพื้นที่สัญญาณของผู้ให้บริการฯ รายใด 10. เปลี่ยนตำแหน่งการใช้งาน ทางออกสุดท้ายคือ การเปลี่ยนตำแหน่งที่ใช้งาน หากพบว่าในจุดนั้นของบ้านมีสัญญาณต่ำ ให้ลองหาตำแหน่งใหม่ บางครั้งต้นไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า กำแพง วัสดุของบ้าน ก็อาจทำให้ระดับสัญญาณโทรศัพท์ต่ำลง และเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายคนมักเดินออกไปโทรศัพท์นอกตัวอาคาร ที่มา – iDropNews
คอม ที่
อาจจะมีบางครั้งที่เราใช้งานสมาร์ทโฟนอยู่ดีๆ แต่เครื่องดันมาเกิดอาการค้างหรือไม่สามารถใช้งานต่อได้ ทำให้ต้องกดปุ่มรีสตาร์ทเครื่องฉุกเฉิน (Force Restart) เพื่อให้เครื่องกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ซึ่งจากเดิม iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ต้องกด ปุ่มเพาเวอร์และปุ่มลดเสียงพร้อมกันค้างเอาไว้ ส่วน iPhone 6s Plus และ iPhone 6s ต้องกดปุ่มโฮมและปุ่มเพาเวอร์พร้อมกันค้างเช่นกัน แต่พอมาถึง iPhone X, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่อีกครั้ง ซึ่งสามารถทำได้ตามวิธีการข้างล่างนี้เลย วิธีรีสตาร์ทเครื่องฉุกเฉิน (Force Restart) สำหรับ iPhone X, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus 1. กดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง 2. กดปุ่มลดเสียง 1 ครั้ง 3. กดปุ่มเพาเวอร์ค้างเอาไว้เพียงปุ่มเดียว 4. รอจนกว่าสัญลักษณ์ Apple จะปรากฏขึ้น 5. กลับมาใช้งานได้ตามปกติ เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหาไปได้แล้ว เมื่อเครื่องเกิดอาการค้างหรือไม่สามารถใช้งานได้ชั่วขณะ ก็หวังว่าวิธีดังกล่าวจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับผู้ใช้งาน แต่หากเครื่องเกิดอาการเช่นนี้บ่อยๆ ก็ควรนำเครื่องไปเช็คอาการที่ศูนย์บริการหรือร้านซ่อมสมาร์ทโฟนเพื่อดูอาการอีกครั้ง บทความที่เกี่ยวข้อง ติดตามข่าว สยามโฟน.
ถึงจะล้างเครื่องหมดแต่ ทุกอย่างกลับมาหมดไม่มีหาย แม้กระทั่ง wallpaper ที่คุณใช้อยู่ ก็ยังเหมือนเดิม
ลองใช้ Wi-Fi Calling Wi-Fi Calling เป็นบริการโทรผ่านระบบ VoIP ที่มีมานานแล้ว แต่ใช้ได้เฉพาะการโทรเท่านั้น ไม่สามารถใช้ส่งข้อความได้ แต่อย่างน้อยถ้าหากสัญญาณโทรศัพท์ในบริเวณที่ใช้งานอยู่ในระดับต่ำ การโทรผ่าน Wi-Fi Calling จะทำให้เสียงสนทนาชัดเจนกว่า การโทรผ่าน Wi-Fi Calling สามารถทำได้โดยเข้าไปที่ Settings > Cellular > Wi-Fi Calling 4. ถอดเคสออก เคสอาจจะช่วยปกป้อง iPhone จากริ้วรอย แต่เคสที่หนาไปอาจปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์ได้ โดยเฉพาะเคสที่มีส่วนประกอบของโลหะบางชนิด เพราะฉะนั้น ถ้าพบว่าที่บ้านสัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยดี การลองถอดเคสออกแล้วทำตามขั้นตอนแรก (รีเฟรชสัญญาณโทรศัพท์) อาจช่วยให้ iPhone รับสัญญาณได้ดีขึ้น 5. ชาร์จแบตเตอรี่ iPhone iPhone ที่แบตเตอรี่เหลือน้อย อาจทำให้ความสามารถในการค้นหาสัญญาณลดลง บ่อยครั้งที่เจ้าของ iPhone กลับเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าระดับแบตเตอรี่เหลือน้อย เนื่องจากมีการใช้งาน iPhone มาตลอดทั้งวัน การชาร์จแบตเตอรี่เข้าไปใหม่ ให้มีระดับเกิน 50% อาจทำให้สัญญาณโทรศัพท์ดีขึ้น 6. อัพเดท iOS แล้วล้างการตั้งค่าใหม่ iPhone ที่รองรับ iOS เวอร์ชั่นใหม่ ควรทำการอัพเดทให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่อยู่เสมอ โดยเข้าไปตรวจสอบได้ที่ Settings > General > Software Update แต่ถ้าหลังจากการอัพเดท iOS เวอร์ชั่นใหม่ ยังพบปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี แนะนำให้ล้างการตั้งค่าเครือข่ายใหม่ โดยไปที่ Settings > General > Reset แล้วแตะที่ Reset Network Settings 7.
Reset Network Settings (รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย) ในกรณีที่ตัวเครื่องมีปัญหาในการเชื่อมต่อเครือข่าย ทั้ง Wi-Fi, Bluetooth หรือแม้แต่เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ไม่จำเป็นต้องล้างข้อมูลตัวเครื่องออกทั้งหมด ให้ทำการรีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่ายก็พอ ด้วยการเลือก Reset Network Settings เพื่อล้างข้อมูลการเชื่อมต่อเดิม และลองทำการเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง โดยวิธีนี้ รหัสผ่านของ Wi-Fi จะถูกลบออกไปด้วย ฉะนั้นจำเป็นต้องจำรหัสผ่านได้ด้วยเช่นกัน เข้าไปที่ Settings > General > Reset > Reset Network Settings 4. Reset Keyboard Dictionary (รีเซ็ตพจนานุกรมแป้นพิมพ์) วิธีนี้จะเป็นการรีเซ็ตพวกคำต่าง ๆ หรืออีโมจิที่ใช้บ่อย ซึ่งเมื่อทำการรีเซ็ตแล้ว คำหรืออีโมจิเหล่านี้จะหายไป และเป็นการตั้งค่าจากโรงงานแทน เข้าไปที่ Settings > General > Reset > Reset Keyboard Dictionary 5. Reset Home Screen Layout (รีเซ็ตการเรียงไอคอนที่หน้าจอโฮม) สำหรับการรีเซ็ตแบบนี้จะเป็นการจัดเรียงไอคอนหน้า Home Screen ใหม่ ซึ่งเมื่อทำการรีเซ็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว แอปพลิเคชันที่ติดมากับตัวเครื่องตั้งแต่แรก จะถูกจัดเรียงใหม่ ส่วนแอปฯ อื่นที่ดาวน์โหลดเพิ่มเข้ามา ถ้าหากก่อนรีเซ็ตอยู่ในหน้าแรก หลังรีเซ็ตจะย้ายไปหน้าที่ 2 และจัดเรียงตามตัวอักษร A-Z เข้าไปที่ Settings > General > Reset > Reset Home Screen Layout 6.