05 และ 3) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง If-clause ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด
10000+ ผลลัพธ์สำหรับ 'if clause type 3' If - clause type 1 จับคู่ Matthayom 2 ภาษาต่างประเทศ If Clause Conditional Type 1 ล้อสุ่ม การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น English การพัฒนาความรู้ความเข้าใจ If-Clause การไล่ล่าเขาวงกต If clause แบบทดสอบ If-clause เกมตอบคำถาม การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย English
(If I study hard – present simple, I always pass my exams – present simple) กริยาใน Main Clause เป็นคำสั่ง คำแนะนำ หรือ ขอร้อง ให้ใช้ Present Simple Tense If your parents ask you, tell them truth. แปลว่า ถ้าพ่อแม่ถาม ก็บอกความจริงแก่พวกเขา (เป็นประโยคคำสั่ง) If you leave, please turn out the light. แปลว่า ถ้าคุณออกไป กรุณาปิดไฟด้วยนะ (เป็นประโยคขอร้อง) If you feel tired, drink a cup of coffee. แปลว่า ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อย ดื่มกาแฟสิ (เป็นประโยคแนะนำ) แบบที่ 1 นี้ สามารถใช้ Should แทน If ได้ ซึ่งวิธีนี้จะเรียกว่า การทำ Inversion Should she refuse to leave, telephone Ms. Wendy. = If she refuses to leave, telephone Ms. Wendy. Unless = If…Not (แปลว่า ถ้า…ไม่) ประโยคหลัง Unless จะเป็นประโยคบอกเล่า ไม่อย่างนั้นจะเป็นปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ และผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องจำให้ขึ้นใจอยู่เสมอ เมื่อนำ Unless ไปวางในประโยคเงื่อนไข คือ หลัง Unless ต้องไม่มีคำว่า No โดยเด็ดขาด เพราะตัวมันเองมีความหมายว่า "ไม่" อยู่ในตัวแล้ว Unless you study harder, you won't pass the exam. เปรียบเทียบกับประโยคเงื่อนไขที่ใช้ If แล้ว จะมีความหมายเดียวกัน If you don't study harder, you'll fail the exam.
1) If Present Simple, Present Simple วิธีใช้: ใช้กับเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ ใช้พูดถึงความจริงตามธรรมชาติ หรือข้อเท็จจริงทั่วไป เช่น If you stand in the rain, you get wet. ถ้าคุณตากฝน คุณจะเปียก If you are under 18, drinking alcohol is illegal. ถ้าคุณอายุต่ำกว่า 18 ปี การดื่มเครื่องดืมแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมาย I get tired if I work too much. ฉันจะเหนื่อยถ้าฉันทำงานหนักไป 2) FIRST Condition Sentence 2. 1) If Present Simple, Future Simple วิธีใช้: ใช้อธิบายว่า ถ้าหากเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น อีกเหตุการณ์หนึ่งก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น If it does not rain, we will go to the park. ถ้าฝนไม่ตก เราจะไปสวนสาธารณะกัน If you don't review the lessons, you will not pass the exam. ถ้าคุณไม่ทบทวนบทเรียน คุณจะสอบไม่ผ่าน We will stay at home if it rains. เราจะอยู่บ้านถ้าฝนตก 2. 2) If Present Simple, Imperative Form วิธีใช้: ประโยคคำสั่ง ใช้แนะนำหรือสั่งใครว่าควรทำอะไร เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น รูปประโยคของ Imperative Form จะขึ้นต้นด้วยคำกริยา If you visit Bangkok, please send me a postcard. ถ้าคุณมาเที่ยวกรุงเทพฯ ช่วยส่งโปสต์การ์ดหาฉันด้วยนะ If you arrive at the airport, don't forget to call me ถ้าคุณมาถึงสนามบินแล้ว อย่าลืมโทรหาฉัน 2.
ถ้าฝนตก ฉันจะอยู่บ้าน จากตัวอย่างประโยคนี้ If clause ก็คือ If it rains (เงื่อนไข) Main clause ก็คือ I will stay home. (ผลลัพธ์) หลักการใช้ if clause เรามาดูหลักการใช้ if clause ทั้งการใช้คอมม่า และการใช้ if clause ทั้ง 4 แบบกันเลย (บางที่อาจพูดถึงแค่ 3 แบบ โดยจะตัดแบบที่ 0 หรือที่เรียกว่า type 0 ออก) ตำแหน่งกับการใช้คอมม่า If clause และ main clause สามารถเขียนสลับที่กันได้ ซึ่งถ้าเรา ขึ้นต้นประโยคด้วย if clause เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นระหว่าง if clause และ main clause If you don't hurry, you will be late for school. ถ้าคุณไม่รีบ คุณจะไปโรงเรียนสาย แต่ถ้าเราขึ้นต้นประโยคด้วย main clause เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า You will be late for school if you don't hurry. คุณจะไปโรงเรียนสายถ้าคุณไม่รีบ การใช้ if clause แบบที่ 0 If clause แบบที่ 0 (เรียกอีกอย่างว่า the zero conditional หรือ type 0) เราจะใช้กับ สิ่งที่เป็นจริงเสมอ (ถ้าน้ำแข็งละลาย มันจะกลายเป็นน้ำ – ความจริงตามธรรมชาติ) สิ่งที่เราทำเป็นปกติ (ถ้าฉันไปชายหาด ฉันจะใช้ครีมกันแดด – ฉันใช้ครีมกันแดดเสมอ เมื่อฉันไปชายหาด) โดยจะเป็นการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะ If clause แบบที่ 0 If clause Main clause Tense ที่ใช้ Present simple Present simple ตัวอย่างประโยค If ice melts, ถ้าน้ำแข็งละลาย it turns into water.
2) First Conditional Sentences (If clause type 1) ใช้กับเหตุการณ์ที่ อาจจะเกิดขึ้นจริง/อาจจะเป็นไปได้ รูปแบบนี้จะมี Modal หรือกริยาช่วย (เช่น can, may, might, shall, should, must, …. ) เพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งโครงสร้างสามารถเขียนได้ 2 แบบเช่นกัน If + Present simple, S. + Modal + infinitive verb *ต้องมีคอมมา (, ) เชื่อมประโยค S + Modal + infinitive v. + if + Present simple *ละคอมมา (, ) ได้เลย EX1 - If their teacher teaches, the students may come to school. ถ้าคุณครูสอน นักเรียนอาจมาโรงเรียน Students may come to school if their teacher teaches. นักเรียนอาจมาโรงเรียน ถ้าครูสอนหนังสือ ***ในที่นี้นักเรียนอาจจะมาหรือไม่มาโรงเรียนก็ได้*** EX2 - If Tom studies hard, he will pass the exam. ถ้าทอมตั้งใจเรียน เขาจะสอบผ่าน Tom will pass the exam if he studies hard. ทอมจะสอบผ่าน ถ้าเขาตั้งใจเรียน ***ในที่นี้ทอมอาจจะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็ได้*** 3) Second Conditional Sentences (If clause type 2) ใช้กับเหตุการณ์ที่ เป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นจริง เพ้อฝันเกิ๊นนนน (สามารถใช้ could กับ might แทน would ได้จ้า) If + Past Simple, S. + would + infinitive v. *ต้องมีคอมมา (, ) เชื่อมประโยค S. + if + Past Simple *ละคอมมา (, ) ได้เลย EX1 - If had a million bath, I would travel around the world.
สรุปวิธีการใช้ ❝ If clause ❞ #แบบกระชับ #เข้าใจง่าย If clause หรือ Conditional sentence (ประโยคเงื่อนไข) คือ ประโยคที่ผู้พูดสมมติว่าถ้ามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น จะมีผลหรือเหตุการณ์อื่นๆ เกิดขึ้นตามมา Conditional sentence ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) If clause ส่วนที่เป็นเงื่อนไข ขึ้นต้นด้วย If 2) Main clause ส่วนประโยคหลักที่เป็นผลมาจากเงื่อนไข If clause ประโยค If clause สามารถแบ่งได้ 2 แบบเช่นกัน 1) ถ้าหากส่วนที่เป็น If clause ขึ้นก่อน เมื่อจบประโยคจะต้องคั่นด้วย, (comma) เสมอ แล้วค่อยตามด้วย Main clause เช่น If I were you, I wouldn't love him. 2) ถ้าหากส่วนของ Main clause ขึ้นก่อน จะต่อด้วย If clause เลยโดยไม่มี, (comma) คั่น เช่น I wouldn't love him if I were you. นอกจากเรื่อง If clause หรือ Conditional sentence แล้ว ยังมี 8 กฎเหล็กแกรมม่าที่ควรรู้ คลิกเลย ซึ่งถ้าคุณลองนำปรับไปใช้ ภาษาอังกฤษของคุณจะดูโปรมากยิ่งขึ้น หรือถ้าอยากรู้ว่าคุณใช้ภาษาได้ดีแค่ไหน ลองมาเช็คกันดูว่าประโยคภาษาอังกฤษเหล่านี้ คุณกำลังใช้ผิดอยู่รึเปล่า ดู 10 ประโยคปราบเซียนที่คนชอบใช้ผิด คลิกเลย 4 ประเภทของประโยค If clause หรือ Conditional sentence 1) ZERO Conditional Sentence 1.
ถ้าฉันถูกล็อตเตอรี่นะ ฉันจะเดินทางรอบโลกเลย – เพ้อไป ชาตินี้จะมีโอกาศไหม If I had time, I would learn more English. ถ้าฉันมีเวลานะ ฉันจะเรียนอังกฤษให้มากขึ้น – เรียนเอาแค่ผ่านก่อนเถอะ เวลาแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว I would be happy if I had 1 billion baht. ฉันคงมีความสุขมากเลย ถ้าฉันมีเงินสักพันล้าน – รอชาติหน้าบ่ายๆเหอะ งานการก็ไม่ทำ คงเป็นไปได้หรอก If I were you, I would take the offer. ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะรับข้อเสนอนะ – นายเป็นฉันไม่ได้หรอก คนละคนกัน I would leave early if the boss allowed. ฉันจะกลับเร็วหน่อย ถ้าเจ้านายอนุญาต – ฝันไปเหอะ นายเขี้ยวจะตายไป I would ask for the numbers if I saw a ghost. ฉันจะขอหวย ถ้าฉันเจอผี – ฮ่า…. พูดเป็นเล่นไป If I had money, I would buy a BMW. ถ้าฉันมีเงิน ฉันจะซื้อ BMW – แต่ฉันไม่มีอ่ะ ทำงานได้มาก็ใช้หมด หลักการใช้ Third Conditional Sentences หรือ If clause type 3 ประโยคเงื่อนไขชนิดที่ 3 นำไปใช้กับเหตุกาณ์ที่ ตรงข้ามกับความเป็นจริง ณ ตอนนั้น ส่วนมากจะเป็นการรำพึงรำพันเสียดายภายหลัง ณ ตอนนี้ 3 Past Perfect would + have + past participle If I +had + V3., I woud+ have+ V3 ถ้าฉันเรียนหนัก ฉันก็สอบผ่านไปแล้ว ตัวอย่างประโยค if clause type 3 If I had studied hard, I would have passed the test.
หลายๆ คนที่เรียนภาษาอังกฤษก็คงต้องเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่อง If Clause กันมาอย่างแน่นอน แต่ก็มีหลายๆ คนที่เรียนแล้วไม่เข้าใจหลักในการใช้ว่าควรใช้ยังไง แล้วต้องใช้ตอนไหนถึงจะถูกต้อง ดังนั้นวันนี้เรามากับบทความ เรียนรู้การใช้รูปประโยค If Clause ง่ายนิดเดียว ขอบอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด! If Clause คืออะไร Conditional sentences หรือ If Clause คือ ประโยคเงื่อนไขหรือส่วนที่เป็นเหตุการณ์สมมติ โดยหลักๆ แล้วจะถูกแบ่งออกเป็นรูปประโยค 3 ชนิดด้วยกัน ดังนี้ 1. Real Conditional เป็นประโยคแสดงเงื่อนไขที่สามารถเป็นความจริงได้ หรือแสดงเงื่อนไขที่เป็นไปได้ ในปัจจุบันหรืออนาคต โครงสร้างรูปประโยคก็คือ: if + present simple, will-future ตัวอย่างการใช้ประโยค If you read, you will pass the exam. ถ้าคุณอ่านหนังสือ คุณก็จะสอบผ่าน If I have time, I will help you. ถ้าผมมีเวลาพอ ผมจะช่วยคุณเอง If I study hard, I will pass the test. ถ้าฉันเรียนหนัก ฉันก็จะสอบผ่าน (ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้) 2. Unreal Condition – Present เป็นประโยคแสดงเงื่อนไขที่ไม่สามารถเป็นความจริง หรือเงื่อนไขที่ไม่สามารถเป็นไปได้ (อาจจะใช้เป็นการแนะนำ) โครงสร้างรูปประโยคก็คือ: if + simple past, would + infinitive If I were rich, my life would change completely.
ทักษะ/กระบวนการ - ทักษะเฉพาะวิชา การฟัง: การคาดเดาข้อมูล การหาข้อมูลเฉพาะ การสรุปความ การพูด: การบรรยาย การอภิปราย การพูดนำเสนอ การอ่าน: การอ่านออกเสียง การคาดเดาข้อมูล การจับใจความ การสรุปความ การเขียน: การเขียนข้อความ - ทักษะคร่อมวิชา กระบวนการกลุ่ม, ทักษะการนำเสนอรายงาน, กระบวนการคิด, ทักษะการแก้ปัญหา 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิต 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มีความคิดสร้างสรรค์: นักเรียนสามารถบอกได้ว่าสิ่งใดคือความฝันหรือจินตนาการ และสิ่งใดคือ ความแท้จริงแล้วสามารถดำเนินชีวิตควบคู่ไปกับทั้ง 2 อย่างได้อย่างมีความสุข 7. ความเข้าใจที่ยั่งยืน ภาวะสมมติเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน 8. สิ่งที่นักเรียนเรียนรู้และปฏิบัติได้ 1. อ่านบทความเรื่อง Money: A Blessing or Problem? เข้าใจ (ต 1. 4-6/2, ต 3. 4-6/1) ร่องรอย หลักฐานการเรียนรู้ 1. ผลงานปฏิบัติ/ชิ้นงาน 1. คำตอบที่ได้จากการตอบคำถามเกี่ยวกับบทความเรื่อง Money: A Blessing or a Problem? 2. การวัดผลและประเมินผล 1. ประเมินการพูดถาม-ตอบข้อมูลโดยใช้เกณฑ์การประเมินความสามารถในการสนทนา 2. ประเมินผลการอ่านบทความจากจำนวนคำตอบที่ถูกต้องโดยใช้เกณฑ์ผ่านร้อยละ 70 หลักฐานอื่นๆ - ประเมินผลการทำแบบฝึกหัดในหนังสือแบบฝึกหัดจากจำนวนคำตอบที่ถูกต้องโดยใช้เกณฑ์ ผ่านร้อยละ 70 กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน - นักเรียนดูรูปภาพ ด้านล่างจากนั้น ถามนักเรียนว่า What is the picture about?